วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พระมหาจักรพรรดิ



พระมหาจักรพรรดิ

ผู้ที่จะเป็นพระมหาจักรพรรดิได้นั้นจักต้องมีบุญญาธิการ บำเพ็ญพระบารมีมามากแล้ว (อย่างน้อยต้องเต็ม ๑๐ ทัศ ) และเมื่อได้เป็นพระมหาจักรพรรดิ ซึ่งมีอยู่ ๒ ประเภท คือ
๑. มหาปนาทจักรพรรดิ และ
๒. มหาสังขจักรพรรดิ

ในกาลนั้นจะมีแก้ว ๗ ประการ ปรากฏขึ้นเป็นของคู่พระบารมี ดังนี้ มหาปนาทจักรพรรดิ นั้น เป็นเนรมิตนาม ของพระจักรพรรดิราชาธิราช ทุกพระองค์ที่ทรงมี สัตตรัตนสมบัติ ๗ ประการ กับมี คทาใหญ่ อันเป็นนิมิตสมบัติจักรพรรดิชุดบก หรือชุดแผ่นดิน เช่นเดียวกัน มหาสังขจักรพรรดิ ก็ทรงมี สัตตรัตนสมบัติ ๗ ประการ กับมี สังข์ใหญ่ หรือมหาสังข์ อันเป็นนิรมิตสมบัติจักรพรรดิชุดน้ำ หรือชุดทะเล สัตตรัตนสมบัติ ๗ ประการนั้น คือ

๑) จักรรัตนะ จักรแก้ว
๒) หัตถีรัตนะ ช้างแก้ว
๓) อัสสรัตนะ ม้าแก้ว
๔) มณีรัตนะ มณีแก้ว แก้วทับทิม
๕) อิตถีรัตนะ นางแก้ว
๖) คหบดีรัตนะ ขุนคลังแก้ว
๗) ปรินายกรัตนะ ขุนพลแก้ว

นอกจากนี้ทั้ง ๒ ชุด ยังมีปราสาทแก้ว ปราสาททอง หรือ รัตนะปราสาท สุวรรณปราสาท พร้อมกับ มีแก้ว ทอง เงิน แร่ธาตุต่าง ๆ ประดับพร้อมทุกประการ สัตตรัตนะ ๗ ประการของพระมหาจักรพรรดิ นั้นมีรายละเอียดดังนี้
๑. จักรรัตนะ หรือ จักรแก้ว จมอยู่ในท้องมหาสมุทรลึกได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ดุมเป็นแก้วอินทนิล ประกอบไปด้วยแก้วทั้ง ๗ ประการ มีพันซี่ หัวกำอันฝังเข้าไปในดุมเป็นเงิน และทองอันงาม มีรัศมีดุจพระอาทิตย์ ครั้นพระมหาจักรพรรดิปรากฏขึ้น จักรแก้วนี้ก็จะทะยานขึ้นจากท้องมหาสมุทร ร่อนลงที่ประตูเมือง แล้วกระทำทักษิณาวัตรรอบเมือง จากนั้น จะเข้าไปสู่พระราชมณเฑียรของมหาจักรพรรดิ กระทำทักษิณาวัตรรอบมณเฑียร แล้วเข้ามานบนอบที่เบื้องบาทแห่งองค์ พระมหาจักรพรรดิ ซึ่งจักรแก้วนี้มีฤทธิ์สามารถปราบได้หมดทุกทวีป ไม่อาจที่จะหามนุษย์ผู้ใดต่อต้านได้ เมื่อพระมหาจักรพรรดิยกทัพ จักรแก้วสามารถทำให้ ทั้งกองทัพเดินทางกลางเวหาเหมือนเหล่าทัพของเทพยดา
๒. หัตถีรัตนะ หรือ ช้างแก้ว ครั้นพระมหาจักรพรรดิปราบได้ทุกทวีปแล้ว จะทำการสร้างโรงช้างประดับด้วยเงิน และทอง และแก้ว ๗ ประการ จากนั้นจึงปูลาดด้วยผ้าหลายชั้น เอาข้าวตอกดอกไม้โปรยทั่วโรงช้าง แล้วพระมหาจักรพรรดิ จะทำทานรักษาศีล ๗ วัน แล้วคำนึงถึงช้างแก้ว ช้างแก้วตระกูลฉัตรทันต์ หรือตระกูลอุโบสถ ก็จะเหาะมาลงที่โรงช้าง ช้างแก้วนี้จะเป็นช้างเผือก มีงวงแดงงามดั่งดอกบัวแดง สามารถเดินทางทางเวหาด้วยความรวดเร็ว มีพละกำลังมหาศาล
๓. อัสสรัตนะ หรือ ม้าแก้ว พระมหาจักรพรรดิ จะทำการสร้างโรงม้าประดับด้วยเงิน และทอง และแก้ว ๗ ประการ จากนั้น จึงปูลาดด้วยผ้าหลายชั้น เอาข้าวตอกดอกไม้โปรยทั่วโรงม้า แล้วพระมหาจักรพรรดิจะทำทานรักษาศีล ๗ วัน แล้วคำนึงถึงม้าแก้ว ม้าแก้วอันงามดังสีเมฆหมอกขาว และมีลายเขียวดังสายฟ้าแลบ มีกีบเท้าทั้งสี่ และหน้าผากแดงดังน้ำครั่ง กำยำล่ำสัน ขนหัวนั้นดำเลื่อมงามดังดำกา เรืองงามดังแก้วอินทนิล ก็จะเหาะมาลงที่โรงม้า ม้าแก้วสามารถเดินทางทางเวหาเช่นกัน
๔. มณีรัตนะ หรือ แก้วมณี พระมหาจักรพรรดิจะต้องทำทานรักษาศีล ๘ แล้วคำนึงถึงแก้วรัตนะ มณีรัตนะ อันอยู่ที่วิบูลบรรพต ก็จะลอยมาหา มณีรัตนะนี้สามารถทำให้เวลากลางคืนสว่างดุจกลางวัน
๕. อิตถีรัตนะ หรือ นางแก้ว พระมหาจักรพรรดิจะต้องทำทานรักษาศีล ๘ แล้วคำนึงถึงนางแก้ว นางแก้วก็จะเหาะมาหา นางแก้วนี้มีฉวีวรรณเกลี้ยงเกลาสดใส ธุลีมิอาจเกาะติดกายนางสรีระ มีลักษณะอัน อุดมถ้วนทุกแห่ง มีรัศมีแผ่ออกรอบกายนาง ๑๐ ศอก มีพระพักตร์งดงาม เนื้อหนังอ่อนนุ่ม มีกลิ่นกายหอม ดั่งแก่นจันทน์กฤษณา กลิ่นปากหอมดังดอกบัวนิลุบล เมื่อร่างกายพระมหาจักรพรรดิหนาว ตัวนางแก้วจะอุ่น เมื่อร่างกายจักรพรรดิร้อนตัวนางแก้วจะเย็น และนางแก้ว จะมีรสสัมผัสอันเป็นทิพย์
๖. คหบดีรัตนะ หรือ ขุนคลังแก้ว พระมหาจักรพรรดิจะต้องทำทานรักษาศีล ๘ แล้วคำนึงถึงขุนคลังแก้ว มหาเศรษฐีผู้ประเสริฐ ก็จะเหาะมาหาพระองค์ ขุนคลังแก้วนี้ จะสามารถทำให้ มหาจักรพรรดิพอพระทัย ทุกประการ มีคุณวิเศษคือ มีตาทิพย์ หูทิพย์ และสามารถนำทรัพย์สมบัติมาได้แม้จะอยู่ที่ใดก็ตาม
๗. ปริณายกรัตนะ หรือ ขุนพลแก้ว พระมหาจักรพรรดิจะมีโอรสพันกว่าองค์ ล้วนเป็นผู้แกล้วกล้า แต่ลูกคนโตจะ ประเสริฐกว่าน้องทั้งหลาย ได้เป็นลูกแก้วเมื่อกาลที่พระมหาจักรพรรดิสิ้นพระชนม์นั้น จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี จะคืนกลับสู่ที่เดิม ส่วนคหบดีแก้ว นางแก้ว และปรินายกแก้ว ก็จะกลับกลายเป็นมนุษย์ปกติสามัญทั่วไป
สำหรับคทาใหญ่ หรือสังข์ใหญ่นั้น เกิดเคลื่อนจากเชิงวางจะเป็นนิมิตหมายบอกให้ทราบถึงเหตุ ๓ ประการ คือ
๑. เป็นนิมิตบอกถึงอันตรายที่จะมีแก่พระมหาจักรพรรดิ อันถึงแก่ชีวิต
๒. พระมหาจักรพรรดิจะทรงออกผนวช ในอีก ๗ วันข้างหน้า
๓. เป็นนิมิตบอกให้ทราบว่าบัดนี้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น